ริ้วรอย คือ ร่องเส้นที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของเรา สามารถพบได้ทั่วร่างกายโดยเฉพาะจุดที่มีการขยับบ่อยๆ เช่น ใบหน้า ข้อพับ คอ เป็นต้น ซึ่งจุดเกิดริ้วรอยที่เป็นปัญหาหนักใจและสังเกตได้ง่ายที่สุดก็คือริ้วรอยบนใบหน้านั่นเอง หลายคนพบปัญหาริ้วรอยก่อนวัย ไม่จำเป็นต้องรอให้อายุมากก็สามารถเกิดได้ และหากปล่อยไว้นานร่องริ้วรอยนี้ก็จะค่อยๆ ลึกขึ้นจนรักษาได้ยาก
สภาพผิวของผู้หญิงแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนรู้ดีว่า การมีผิวสวย สดใส เรียบเนียน ไร้ริ้วรอย เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนปรารถนา แต่สิ่งที่ผู้หญิงทุกคนกังวลและคิดว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อกาลเวลาที่ผ่านเลยไป คือ ริ้วรอยบนใบหน้า ริ้วรอยแรกจะเป็นรอยตีนกา เพราะผิวหนังรอบดวงตา มีความบอบบางมาก อีกทั้งกล้ามเนื้อรอบดวงตาก็เป็นกล้ามเนื้อวงกลม ไม่มีอะไรยึดผิวรอบดวงตาก็เลยจะเหี่ยวง่ายกว่าที่อื่น จากนั้นส่งผลให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าเพิ่มมากขึ้น
สาเหตุของ ‘ริ้วรอย’ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงและการเสื่อมสภาพของเซลล์ผิวภายใน เช่น
1. เส้นเลือดที่นำพาเลือดและสารอาหารมาเลี้ยงเซลล์ผิว ขาดความแข็งแรง เปราะบางลง ไม่ยืดหยุ่น ทำให้เซลล์ผิวได้รับสารอาหารไม่เต็มที่
2. การผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินของเซลล์ผิวน้อยลง ส่งผลให้ผิวขาดความแข็งแรง เกิดการหย่อนคล้อยของผิวหน้า จนเกิดริ้วรอยในที่สุด
3. การผลัดเซลล์ผิวเกิดช้าลง ทำให้ผิวอ่อนแอ เกิดรอยเหี่ยวย่นง่าย ขาดความสดใส
4. เซลล์ผิวอุ้มน้ำน้อยลง จนผิวขาดความชุ่มชื้น แห้ง หยาบกระด้าง ทำให้ผิวมีริ้วรอยง่ายขึ้น เช่นคนที่มีสภาพผิวแห้ง
ดังนั้น ริ้วรอยเกิดจากการที่ผิวหนังของเรามีปริมาณอิลาสติน, คอลลาเจน, และกรดไฮยาลูโรนิคลดลงจนผิวไม่แข็งแรง เต่งตึง และยืดหยุ่นเท่าเดิม ทำให้ผิวไม่สามารถคืนตัวได้ตามปกติหลังจากกล้ามเนื้อหดตัวและคลายลง ส่งผลให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและพับย่นจนเกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมา
ถั่ว
ในถั่วมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สังกะสี และวิตามินอี นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วย แร่ธาตุและวิตามินอื่นๆ ที่ช่วยให้ดูอ่อนเยาว์ อย่าง วิตามินบี ซีลีเนียน และวิตามินซี โดยเฉพาะวอลนัท อัลมอนด์ และมะม่วงหิมพานต์
อะโวคาโด
อะโวคาโด เป็นอีกหนึ่งอาหารที่เต็มไปด้วยไขมันที่ดีต่อสุขภาพซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว และยังอุดมไปด้วย แคโรทีนอยด์ (carotenoid) ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากแสงแดด โดยอะโวคาโดมีจุดเด่นคือมีสาร D-mannoheptulose ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่เชื่อกันว่ากระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนัง
บลูเบอร์รี่
ผลเบอร์รี่ส่วนใหญ่เหมาะสำหรับผิวและสุขภาพโดยทั่วไป แต่บลูเบอร์รี่เป็นซุปเปอร์ฟู้ด ซึ่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยให้ผิวตจ้านทานกับอนุมูลอิสระและยังช่วยซ่อมแซมจากภายใน ทั้งนี้ แอนโทไซยานินที่พบในบลูเบอร์รี่ ช่วยคงความเป็นคอลลาเจนทำให้ผิวพรรณของคุณคงความอ่อนเยาว์และมีสุขภาพดีได้นานยิ่งขึ้น
ทับทิม
ผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยวิตามินซีที่เป็นมิตรกับผิว นอกจากนี้ทับทิมยังมีกรดเอลลาจิก (Ellagic acid) และ พูนิคาลาจิน (Punicalagin) ซึ่งเชื่อว่าช่วยเพิ่มความสามารถในการรักษาคอลลาเจน และกรดเอลลาจิก ยังต่อสู้กับความเสียหายจากอนุมูลอิสระ และช่วยชะลอการสลายคอลลาเจน สรุปคือทั้งสองตัวช่วยรวมพลังสร้างคอลลาเจนให้กับผิวนั่นเอง
มะเขือเทศ
มะเขือเทศมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นไลโคปีน เรตินอล หรือเมลาโทนินก็ตาม ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้จัดเป็นสารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด อีกทั้งยังช่วยสร้างคอลลาเจนพร้อมทั้งปกป้องไม่ให้เกิดการแตกสลาย จึงทำให้ผิวสดใสมีชีวิตชีวา ไม่คล้ำเสีย อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอีกเช่นกัน
บร้อกโคลี
บร้อกโคลีอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี เส้นใยอาหาร และสารอาหารอีกมากมายที่มีส่วนช่วยให้เลือดบริสุทธิ์และเกิดการไหลเวียนได้ดี จึงทำให้ผิวกระจ่างใส พร้อมทั้งลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้ดีมาก
1. เพิ่มการดูแลผิว
ครอบคลุมตั้งแต่การเช็ดหน้าอย่างถูกวิธี ทาครีมบำรุงผิว ทาครีมกันแดดเป็นประจำ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนช่วยเติมเต็มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนช่วยลดเลือนริ้วรอยโดยเฉพาะหรือเลือกสกินแคร์ที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี, วิตามินอี, สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น
2. รับประทานคอลลาเจน
เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง ทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่นและอ่อนแอ ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน ให้เลือกรับประทานหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะแบบผง แบบเม็ด หรือแบบเครื่องดื่ม
3. นวด / โยคะหน้า
การนวดหน้าและโยคะหน้าเป็นประจำจะช่วยให้ผิวหนังบริเวณใบหน้าตึงกระชับยืดหยุ่น อีกทั้งยังมีส่วนช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี จึงช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ได้
4. ปรับเปลี่ยนท่านอน
การนอนคว่ำหรือตะแคงมากไป จะทำให้มีโอกาสเกิดริ้วรอยได้ง่ายกว่าท่านอนหงายปกติ รวมไปถึงเนื้อผ้าของปลอกหมอนก็สำคัญเช่นเดียวกัน หากเนื้อผ้ามีความหยาบและแข็ง จะทำให้ผิวหน้าถูกเสียดสีจนเกิดการเหี่ยวย่น
5. การรักษาทางการแพทย์
หากต้องการการรักษาแบบรวดเร็วทันใจ การทำทรีตเมนต์ โบท็อก เลเซอร์ จะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด แต่ก็แลกมากับค่าใช้จ่ายที่สูงและผลข้างเคียงอื่นๆ
นอกจากนี้ริ้วรอยยังสามารถเกิดจากปัจจัยอื่นๆ ได้อีก อย่างผิวขาดน้ำ หรือผลัดเซลล์ผิวได้ช้าจนทำให้ผิวเกิดรอยย่นได้ง่าย ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะดังกล่าวมีหลายสาเหตุ ได้แก่
1. อายุ
อายุเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเกิดริ้วรอย ร่างกายของคนเราจะสร้างสารที่ทำให้ผิวหนังเต่งตึงได้น้อยลงทุกๆ ปี ประมาณปีละ 1 เปอร์เซ็นต์ เมื่ออายุย่างเข้า 25 ปี ทำให้ผิวไม่เต่งตึงเท่าเดิม เริ่มหย่อนคล้ายจนทำให้เกิดริ้วรอยขึ้น
2. พันธุกรรม
คนเรามีช่วงเวลาที่เริ่มมีริ้วรอยต่างกัน ความลึก ความรุนแรง ความยากง่ายของการเกิดริ้วรอยก็ต่างกัน เนื่องจากผิวของคนเรามีโครงสร้างหรือลักษณะการสร้างสารต่างๆ ไม่เหมือนกันจากการกำหนดโดยพันธุกรรม
บทสรุป
ริ้วรอยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ไม่ได้มีผลในเรื่องสุขภาพ แต่การมีริ้วรอยบนใบหน้าอาจทำให้ดูอายุมากและมีผลในเรื่องของรูปลักษณ์และความมั่นใจอย่างมาก ดังนั้นผู้ที่เกิดริ้วรอยก่อนวัย ส่วนมากล้วนเป็นพฤติกรรมใกล้ตัวที่เรามักจะทำอยู่บ่อยๆ ดังนั้นการรักษาสุขภาพในเรื่องต่างๆ ก็เป็นประโยชน์เพื่อไม่ให้เกิดริ้วรอยได้
2023-06-07 16:37:58