วิตามินดี
ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดีเองได้ใต้ชั้นผิวหนัง ผ่านการกระตุ้นจากรังสียูวีบี เพื่อป้องกันการขาดวิตามินดี แนะนำให้ออกมาสัมผัสแสงแดดบ้าง โดยเฉพาะแสงแดดตอนเช้าในอาหารพบมากในปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู ปลาซาร์ดีน ไข่ และนมที่มีการเติมวิตามินดี แต่ถ้าหากเราไม่สามารถปรับไลฟ์สไตล์ การรับประทานวิตามินดีในรูปของอาหารเสริม ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง และเพื่อการรักษาที่ถูกต้องและผลลัพธ์ที่ดีควรปรึกษาแพทย์และตรวจระดับวิตามินดีในเลือดก่อนเสริมวิตามิน
วิตามินดี Vitamin D ที่เราแนะนำ
ความสำคัญของวิตามินดี
นอกจากวิตามินดีจะมีหน้าที่หลักในการช่วยดูดซึมแคลเซียม ช่วยให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันโรคกระดูกบาง และกระดูกพรุน วิตามินดียังมีคุณสมบัติพิเศษอีกมากมายที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ นั่นคือ วิตามินดีมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศ จึงมีบทบาทสำคัญในการควบคุมกระบวนการสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ช่วยลดฮอร์โมนพาราไทรอยด์ ป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก เพิ่มการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวาน
นอกจากนี้วิตามินดียังมีหน้าที่สำคัญในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีการค้นพบ Vitamin D Receptor หรือตัวรับที่จับกับวิตามินดีบน T cell และ B cell ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาคุกคามร่างกาย เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เซลล์มะเร็ง ปัจจุบันมีงานวิจัยมากมายที่สนับสนุนการให้วิตามินดีเสริมเพื่อช่วยต้านโรคมะเร็งต่าง ๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนี้วิตามินดียังช่วยให้สมองหลั่งสารเซโรโทนินมากขึ้น มีผลช่วยลดความเครียด และ ภาวะซึมเศร้าอีกด้วย
วิตามินดีช่วยให้สมองหลั่งสารเซโรโทนินมากขึ้น มีผลช่วยลดความเครียด และ ภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย ในด้านผิวพรรณ วิตามินดีช่วยในการแบ่งเซลล์ และการพัฒนาเซลล์เพื่อไปทำหน้าที่ซ่อมแซมส่วนสึกหรอต่าง ๆ ช่วยชะลอวัยของผิว วิตามินดียังมีผลต่อประสิทธิภาพการออกกำลังกายและการเล่นกีฬา โดยเฉพาะการเล่นกีฬาที่มีความหนักและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ที่เรียกว่า Endurance Sport เช่น การวิ่งระยะไกล การปั่นจักรยาน ไตรกีฬา
จากการวิจัยวิตามินดีมีส่วนช่วยให้เพิ่มศักยภาพดังต่อไปนี้
นำออกซิเจนจากเลือดส่งไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมัดต่าง ๆ ได้ดีขึ้นขณะออกกำลังกาย
ลดอาการเมื่อยล้าและอักเสบของกล้ามเนื้อ
เพิ่มความแข็งแรงและทนทานของกล้ามเนื้อ สามารถรับแรงกระแทกได้ดีขึ้น
สาเหตุให้คนไทยขาดวิตามินดี (Vitamin D)
-
พฤติกรรมหลีกเลี่ยงการได้รับแสงแดด การกางร่ม การใส่เสื้อคลุมเพื่อบดบังการได้รับแสงแดดโดยตรง ทำให้ร่างกายได้รับรังสี UVB ในปริมาณความเข้มที่ไม่เพียงพอต่อการสร้างวิตามินดี เป็นเหตุให้ร่างกายขาดวิตามินดีได้
-
การทาครีมกันแดด ครีมกันแดดสามารถป้องกันรังสี UVB ได้ 100% ปกป้องการทำลายชั้นผิวหนัง แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ชั้นผิวหนังไม่ได้รับการกระตุ้นให้เกิดการสร้างวิตามินดีด้วย
-
อายุที่เพิ่มขึ้น ความสามารถในการสร้างวิตามินดีของชั้นผิวหนังจะลดลงสวนทางกับอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงที่จะขาดวิตามินดี
-
การใช้ชีวิตในออฟฟิศ หรือรถยนต์ตลอดทั้งวัน รังสี UVB ไม่สามารถส่องผ่านชั้นกระจก หรือฟิล์มติดรถยนต์ได้ ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิศ หรือรถยนต์ตลอดทั้งวัน จึงเสี่ยงที่จะขาดวิตามินดี เนื่องจากร่างกายไม่ได้รับการกระตุ้นการสร้างวิตามินดีจากรังสี UVB ได้
-
สีผิวเข้ม คนผิวเข้มมีแนวโน้มที่จะสร้างวิตามินดีได้น้อยกว่าคนผิวขาว เนื่องจากเม็ดสีผิวเมลานินจะป้องกันการส่องผ่านของรังสี UVB คนที่มีสีผิวเข้มจึงจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาการได้รับแสงแดดที่นานกว่าคนผิวขาว เพื่อให้ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้เพียงพอต่อความต้องการ
ประโยชน์ของวิตามินดี
ช่วยดูดซึม แคลเซี่ยม และ ฟอสฟอรัส ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงพัฒนาการของกระดูกและฟัน
ช่วยให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันโรคกระดูกบาง (Osteopenia) และกระดูกพรุน (Osteoporosis)
ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน รักษาระดับภูมิคุ้มกันให้เป็นปกติ เป็นภูมิคุ้มกันของร่างกายจากโรคหวัด
มีส่วนช่วยให้การทำงานของสมองเป็นไปอย่างราบรื่นโดยเฉพาะในวัยสูงอายุ
ช่วยในกระบวนการสำคัญต่างๆของร่างกาย
ปริมาณที่แนะนำต่อวัน
สำหรับการรับ วิตามินดี ในปริมาณที่เพียงพอเหมาะสมนั้น ควรได้รับ วิตามินดี จากแสงแดดอย่างเหมาะสมในแต่ละวัน เพราะอาหารที่มีวิตามินดีสูงมีจำกัด ทำให้การรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โดยปริมาณวิตามินดีในปริมาณที่แนะนำให้รับต่อวัน ดังนี้
- ▶ ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี ควรรับวิตามินดี 400-800 IU/วัน
- ▶ ผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากร่างกายมีการสร้างกระดูกน้อยลง ควรรับวิตามินดี 800-1,000 IU/วัน
- ▶ ในรายที่มีอาการเจ็บป่วยทางกระดูก ควรรับประทาน วิตามินดี 3 (D3) ประมาณ 2,000 IU/วัน
ใครควรได้รับวิตามินดีเสริม
ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
ทั้งชายและหญิง มีความเสี่ยงการเกิดโรคกระดูกพรุน และเสี่ยงต่อการลื่นล้มได้ง่าย เนื่องจากกล้ามเนื้อแขนขาไม่แข็งแรงจากภาวะการขาดวิตามินดี
ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ฮอร์โมนเพศหญิงที่ลดลง ทำให้กระบวนการสลายแคลเซียมเกิดมากขึ้น ส่งผลให้ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน (อ่านเรื่องความจำเป็นของผู้หญิงวัยทองกับวิตามินดีแบบละเอียดได้ที่นี่)
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดี
เนื่องจากร่างกายได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ เช่น กลุ่มคนทำงานออฟฟิศ ผู้ป่วยพักฟื้น
ผู้ที่ต้องการบำรุงกระดูก
ป้องกันโรคกระดูกพรุน ควรรับประทานวิตามินดีปริมาณสูงร่วมกับการรับประทานแคลเซียมเสริม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันโรคกระดูกพรุน
ไม่ควรได้รับวิตามิน ดี ในปริมาณที่มากเกินไป จะเกิดอันตรายกับสุขภาพได้ เช่น กระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ ดึงแคลเซียม จากกระดูกไปพอกที่ผนังหลอดเลือด หัวใจ ปอด และไต ทำให้คอเลสเตอรอลสูง เป็นต้น
ข้อมูลอ้างอิง 1. Dietary Reference Intake for Thais 2003
2. Low-Dose Vitamin D Prevents Muscular Atrophy and Reduces Falls and Hip Fractures in Women after Stroke: A Randomized Controlled Trial, 2005.
3. Osteoporos Int 2016
4. บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน วิตามินดี…ประโยชน์ดีๆมีมากกว่าที่คิด อาจารย์ ดร.ทนพญ.วันวิสาข์ อุดมสินประเสริฐ ภาควิชาชีวเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล |